วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

It's Christmas!


Santa Claus has been called by several different names throughout the years. Traditions and legends of Santa Claus for the evolution of the modern-day Santa may have been based on the early Dutch legend of Sinterklaas, originating in the 1600's.
Santa Claus really started to get famous when American author Washington Irving published stories about Santa Claus, referring to him as Saint Nicholas who arrived on Christmas Eve bringing presents for children.
Santa Claus changed and became more famous when writer Clement Clarke Moore wrote a poem in 1823 about a Christmas Eve visit from Saint Nicholas, better known as "The Night Before Christmas" (listed below). Millions of children now could have a consistent description of Santa Claus and his eight flying reindeer.

THE NIGHT BEFORE CHRISTMAS
by Clement Clarke Moore
'Twas the night before Christmas, when all through the house
Not a creature was stirring, not even a mouse
The stockings were hung by the chimney with care,
In hopes that St. Nicholas soon would be there;
The children were nestled all snug in their beds,
While visions of sugar-plums danced in their heads;
And mamma in her 'kerchief, and I in my cap,
Had just settled down for a long winter's nap,
When out on the lawn there arose such a clatter,
I sprang from the bed to see what was the matter.
Away to the window I flew like a flash,
Tore open the shutters and threw up the sash.
The moon on the breast of the new-fallen snow
Gave the lustre of mid-day to objects below,
When, what to my wondering eyes should appear,
But a miniature sleigh, and eight tiny reindeer,
With a little old driver, so lively and quick,
I knew in a moment it must be St. Nick.
More rapid than eagles his coursers they came,
And he whistled, and shouted, and called them by name;
"Now, Dasher! Now, Dancer! Now, Prancer and Vixen!
On, Comet! On Cupid! On, Donder and Blitzen!
To the top of the porch! to the top of the wall!
Now dash away! dash away! dash away all!"
As dry leaves that before the wild hurricane fly,
When they meet with an obstacle, mount to the sky,
So up to the house-top the coursers they flew,
With the sleigh full of toys, and St. Nicholas too.
And then, in a twinkling, I heard on the roof
The prancing and pawing of each little hoof.
As I drew in my hand, and was turning around,
Down the chimney St. Nicholas came with a bound.
He was dressed all in fur, from his head to his foot,
And his clothes were all tarnished with ashes and soot;
A bundle of toys he had flung on his back,
And he looked like a peddler just opening his pack.
His eyes -- how they twinkled! his dimples how merry!
His cheeks were like roses, his nose like a cherry!
His droll little mouth was drawn up like a bow,
And the beard of his chin was as white as the snow;
The stump of a pipe he held tight in his teeth,
And the smoke it encircled his head like a wreath;
He had a broad face and a little round belly,
That shook, when he laughed like a bowlful of jelly.
He was chubby and plump, a right jolly old elf,
And I laughed when I saw him, in spite of myself;
A wink of his eye and a twist of his head,
Soon gave me to know I had nothing to dread;
He spoke not a word, but went straight to his work,
And filled all the stockings; then turned with a jerk,
And laying his finger aside of his nose,
And giving a nod, up the chimney he rose;
He sprang to his sleigh, to his team gave a whistle,
And away they all flew like the down of a thistle.
But I heard him exclaim, ere he drove out of sight,
"Happy Christmas to all, and to all a good-night."


วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กลอนวันพ่อ

5 ธันวา ศุภฤกษ์เบิกฟ้างาม

สัจจาภรณ์ ไวจรรยา poohkan(ผู้แต่งกลอนวันพ่อ)


ยอกรน้อมบังคมก้มกราบบาท
มหาราชจอมบดินทร์ปิ่นสยาม
"5 ธันวา" ศุภฤกษ์เบิกฟ้างาม
ทุกเขตคาม แซ่ซ้องถวายชัย


เฉลิมพระชนมพรรษามหาสวัสดิ์
ขอเทพไท้ที่ป้องรัฐทุกสมัย
น้อมปกปักพระพ่อหลวงของปวงไทย
เปี่ยมพระพลานามัยไปชั่วกาล


ด้วยพระมหาบารมีที่ล้นเกล้า
ข้าพระพุทธเจ้าฯ ขอรองลาดพระบาทผ่าน
ด้วยยึดดี...มิปล่อยใจใฝ่ทางมาร
สมัครสมานและรู้อยู่พอเพียง


ทีฆายุโก โหตุ มหาราช
ไทยทั้งชาติ เปล่งประสานสุรเสียง
“ทรงพระเจริญ” แม้หลากมากสำเนียง
ต่างล้วนเคียงเพ่งจิตกราบถวายพระพร


กษัตริย์ผู้ทรงพระราชกรณียกิจ
มีลิขิตเพียงตำนาน...ในกาลก่อน
ชาติที่กล่าวดังนั้น...คงสั่นคลอน
ด้วยพระเกียรติก้องกำจร...องค์ภูมิพล


พระมหากรุณาล้นฟ้ากว้าง
เกินร้อยกรองสรรค์สร้างคำงามล้น
"หนึ่งธุลี" ใต้ร่มฉัตรแห่งภูวดล
น้อมกมลร้อยกรองถวาย “ทรงพระเจริญ”

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

'THAT AWKWARD MOMENT WHEN'


  • That awkward moment when someone says "Hello!" and you say "Good thanks!"
  • That awkward moment when you say "Goodbye!" to someone but you both walk off in the same direction.
  • That awkward moment when you notice someones zipper is down but you don't want to say anything because you don't have a good excuse for why you were looking that low.
  • That awkward moment when you accidentally call your boss "Honey"
  • That awkward moment when a really nice lady is helping you and you say "Thank you Sir".
  • That awkward moment when you don't know if you should hug someone or not.
  • That awkward moment when you pull the push door even though it's clearly signed.
  • That awkward moment when everyone glares at you because you forgot to put your phone on silent during a meeting (Or on the plane, or in the Cinema!).
  • That awkward moment when you get stuck in a bean bag.
  • That awkward moment when you're talking to someone but you can't remember their name, so you try to avoid introducing them to the person you're with

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทศกาลกินเจ


ประเพณีการกินเจ หรือ เทศกาลกินเจ จะกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุก ๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน โดยผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ กินเพื่อสุขภาพ, กินด้วยจิตเมตตา และกินเพื่อเว้นกรรม 
ประเพณีกินเจก็คือประเพณีกินผัก หรือที่เรียกว่า มังสวิรัติ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าของ ชาวจีน ที่ถึงจะย้ายถิ่น ฐานไปอยู่ในประเทศใด ก็ยังคงยึดถือปฏิบัติตามประเพณีนี้อยู่

สำหรับ ประเทศไทยที่มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่จำนวนไม่น้อย ปัจจุบันกลายเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ก็ยังยึดถือประเพณีกินเจเช่นกัน ประเพณีกินเจในประเทศไทยที่ผู้คนรู้จักกันดีก็คือ ที่จังหวัดภูเก็ต ที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยปีแล้ว โดยแพร่หลาย มาจากคณะงิ้วประเทศจีนที่มาแสดงให้ชาวจีนในภูเก็ตดู การกินเจในปัจจุบันมิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อจะป้องกัน ภัยพิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และเป็นการเคารพถึงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป
แล้ว .........ในช่วงเทศกาลกินเจมีข้อห้ามที่ยึดถือปฏิบัติกันมานานอยู่หลายข้อ เชื่อกันว่าถ้าปฏิบัติได้ครบทุกข้อจึงจะเข้า ถึงการกินเจที่ถูกต้องและ ได้บุญอย่างแท้จริง จึงขอยกข้อห้ามทั้ง 10 ข้อในเทศกาลกินเจมาเล่าให้ฟังกัน จะว่าเป็น การไขข้อข้องใจกันก็ได้ เพราะเชื่อว่าบางข้อยัง เป็นที่สงสัยกันอยู่ เริ่มที่

ข้อแรก การงดกินผักฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง ซึ่งประกอบไปด้วยพืชผัก 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง,หอมขาว,หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (ลักษณะคล้าย หัวกระเทียม แต่เล็กกว่า) กุ้ยช่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า) ใบยาสูบ (บุหรี่,ยาเส้น,ของเสพติดมึนเมา) ผักเหล่านี้เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง นอกจากนี้ยัง ให้โทษทำลายพลังธาตุในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลัก สำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานไม่ควรรับประทาน พราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์ กระตุ้นจิตใจและอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิด โกรธง่าย และยังมีผลทำให้พลังธาตุในร่างกายรวมตัวไม่ติด จิตใจจะไม่บริสุทธิ์ ซึ่งในข้อห้ามนี้มีบางคนยังข้องใจกันมาก คือ กระเทียมซึ่งทางการแพทย์และเภสัชกรพบว่า สามารถรับประทานเป็นยาได้ ทั้งนี้เพราะเป็นสารที่มีประโยชน์สามารถละลายไขมันในเส้นเลือดได้ เช่น ผู้ป่วยที่ เป็นโรคเส้นโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น แม้ทางการแพทย์แผนโบราณก็ยืนยันตรงกันว่ากระเทียมเป็น สมุนไพรรักษาโรคได้ แต่คนจีนที่ปฏิบัติในการกินเจถือว่าให้โทณกับหัวใจ ซึ่งในข้อนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อของ แต่ละคน

ข้อที่สอง การงดกินเนื้อสัตว์ ซึ่งประกอบไปด้วย เนื้อวัว หมู ปลา หรือสัตว์มีชีวิตที่ใช้เป็น อาหารได้ เพราะ คนจีนเชื่อว่าก่อนตายมันจะตกอยู่ในอาหารตกใจกลัวเมื่อเรากินมันเข้าไป อาจจะทำให้เรามีบาปติดตัวไปด้วย เพราะมันคือสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกับคน ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนจีนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่มาถึงปัจจุบัน ..........บางคนเริ่มหาข้อคัดค้านว่าสัตว์บางชนิดอย่าง หอยหรือปลาเล็กๆ ก็น่าจะรับประทานได้เพราะมันเป็นสัตว์ไม่มีเลือด ตามความเชื่อแล้วมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ถ้าในความเป็นจริงแล้ว คนจีนเขาเชื่อว่าประเพณีนี้ศักดิ์สิทธิ์ถ้าปฏิบัติ ให่เคร่งครัด ถึงจะมีคนคัดค้านแต่กับข้อนี้คงไม่ได้ผล

ข้อที่สาม ไม่ควรกินอาหารรสจัด ซึ่งไม่ใช่แค่รสเผ็ดอย่างเดียว รวมไปถึงรสเค็มมาก หวานมากหรือเปรี้ยวมาก ด้วย ซึ่งปกติคนจีนจะไม่กินรสจัดอยู่แล้วเพราะถือว่าจะเข้าไปทำลายสุขภาพ อย่างกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลาย กระเพาะ กินเค็มมากจะไปทำลายไตได้ และอีกอย่างน้ำปลาก็ทำมาจากสัตว์เหมือนกัน ข้อห้ามนี้ถือว่าถูกหลักของ การแพทย์ แต่บางคนที่ปฏิบัติไม่เคร่งครัดนัก เช่น ชอบรสเค็มจัดก็ใช้เกลือแทนน้ำปลา อันนี้ถือว่าไม่ผิด 


ข้อที่สี่ ต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันปรุง ซึ่งข้อนี้ถ้าปฏิบัติได้จะถือว่าบริสุทธิ์จริงๆ แต่ถ้าทำให้เกิดความยาก ลำบากก็ไม่จำเป็น จะได้ไม่ต้องเลือกร้านกันจ้าละหวั่น ฉะนั้นคนที่ปรุงอาจจะไม่ได้กินเจก็ได้แต่ขอให้อาหารที่กินเข้า ไปเป็นอาหารเจก็พอ 

ข้อที่ห้า ถ้วยชามจะต้องไม่ปนกัน เพราะเขาถือเคร่งครัดว่าอาหารคาวซึ่งชาวจีนเรียกว่า " ชอ " นั้น ถ้วยชาม จะใช้ปนกันไม่ได้ จะถือว่าล้างสะอาดหมดจดแล้วจึงเอามาใช้ก็ผิดอีก บางคนคิดว่าล้างให้สะอาดมากๆ ก็ไม่จำเป็น ต้องแยก แต่ข้อนี้ถือว่าเป็นธรรมเนียมเหมือนอย่างอิสลามที่ไม่ยอม ใช้ถ้วยชามปนกัน เหมือนของจีนนั่นแหละ

ข้อที่หก ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข้อนี้ตรงกับการรักษาศีลของชาวพุทธ การฆ่าสัตว์ของชาวจีนตั้งแต่สัตว์เล็กๆ ไป จนถึงสัตว์ใหญ่เป็นข้อเคร่งครัดเช่นกัน บางคนสงสัยอีกว่าอย่างถ้าเป็นยุงหรือมดฆ่าได้ไหมตามความเชื่อแล้วห้าม เด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถือว่า ปฏิบัติไม่ครบ

ข้อที่เจ็ด แต่งกายด้วยชุดขาว ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนก็ใส่ชุดสีขาวตลอดจนถึงออกเจเพราะเชื่อกัน ว่านอกจากงดอาหาร ต่างๆ ในร่างกายสะอาดแล้วภายนอกแม่จะเป็นเครื่องแต่งกายก็ต้องสะอาดด้วย ข้อนี้ไม่ใคร่ เข้มงวดสำหรับบุคคลที่ปฏิบัติอยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปที่แจตั๊วหรือสถานที่ทำพิธีกินเจ

ข้อที่แป
 พูดจาไพ
เราะ คนที่ถือศีลกินเจไม่ใช่เพียงแต่กินของสะอาดเท่านั้น แต่คำพูดที่พูดออก จากปากก็ต้อง สะอาดด้วย สิ่งไม่ดีทั้งหลายไมควรพูดหรือที่เรียกว่า " ปากเจ " ซึ่งประกอบไปด้วย ไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุแหย่ ไม่พูด เพ้อเจ้อ ถ้าปฏิบัติได้ก็ถือว่าสะอาดทั้งหมด

ข้อที่เก้า งดดื่มสุราและของมึนเมา ตลอดช่วงเวลา 9 วัน ..........ข้อนี้สำคัญเพราะการงดอาหารที่เป็นของคาวแล้วสิ่ง ที่สร้างความมึนเมาหรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกายก็ห้ามเข้าสู่ร่างกายด้วย

ข้อที่สิบ ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง คนที่จะไปกินเจมักจะไปชุมนุมกันที่แจตั๊วหรือสถานที่กินเจ ณ ที่นั้น เขาจะประดับดอกไม้ตั้งโต๊ะบูชา วางกระถางธูปและตั้งเครื่องเจ ต่างๆ นอกจากนี้ ก็จุดโคม 9 ดวงเพื่อสมมติเป็น " เก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว " นั่นเอง ซึ่งจะต้องจุดไว้ทั้งกลางวันและ กลางคืนจนตลอดงานทีเดียว ถ้าดับโคมไฟดวงใดดวงหนึ่ง ก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคลและไม่ครบถ้วนพิธีการกินเจ…

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อห้ามในการกินเจใครจะ ปฏิบัติตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของตัวเอง ประเพณีกินเจโดยทั่วไปแล้วมิได้ทำกันตลอดทั้งปี แต่จะเริ่มกินในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำ จนถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งตก ในเดือน 11 ข้างไทยเป็นวันกินเจ ซึ่งจะสับเปลี่ยนเวียนไปตามปีนั้นๆ ใครที่ไม่ได้เป็นลูกหลานชาวจีนถ้าต้องการจะ มีร่างกายและจิตใจ ที่บริสุทธิ์และได้ทำบุญกุศลอาจจะอยากเข้าร่วมพิธีนี้ด้วยก็ได้ เป็นการดีเสียอีกที่ปีหนึ่งคนเรา หันมาทำบุญร่วมกัน
 

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันชาติจีน


วันชาติจีน
       คำว่า “กั๋วชิ่ง(国庆)” ในภาษาจีนหมายถึง กิจกรรมเฉลิมฉลองการสถาปนาประเทศ ปรากฏครั้งแรกในยุคราชวงศ์จิ้นตะวันตก (西晋) ทั้งนี้ สามารถสืบค้นได้จากผลงานประพันธ์ของลู่จี (陆机) นักประพันธ์ที่มีชีวิตอยู่ในยุคดังกล่าว อย่างไรก็ดี การเฉลิมฉลองวันชาติที่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ กลับไม่ได้มีความสลักสำคัญเท่ากับวันพระราชสมภพ (诞辰) และวันขึ้นครองราชย์(登位) ของกษัตริย์แต่อย่างใด (ในสมัยราชวงศ์ชิงถึงกับขนานนามวันพระราชสมภพว่าเป็น “เทศกาลหมื่นปี” 万岁节) ดังนั้น ชาวจีนโบราณจึงรวมเรียกวันที่กษัตริย์เสด็จขึ้นครองราชย์และวันพระราชสมภพว่าเป็น “วันชาติจีน” ขณะที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (中华人民共和国) กลับยึดเอาวันสถาปนาประเทศเป็นวันชาติโดยถือเอาวันที่ 1 เดือนตุลาคมของทุกปี
       ก่อนที่จะมีการกำหนดวันดังกล่าวให้เป็นวันชาติจีนใหม่ ทางคณะรัฐบาลยุคนั้นซึ่งนำโดยประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตง      (毛泽东) ได้เตรียมการหลายอย่างเพื่อการนี้ จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์ธงประจำชาติ พิธีการชักธงขึ้นสู่ยอดเสาที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหน้าจัตุรัสเทียนอันเหมิน (天安门广场) ตลอดจนเพลงชาติและพิธีกรรมต่างๆ ที่ผู้นำจีนใหม่ทุกยุคทุกสมัยล้วนปฏิบัติสืบต่อกันเป็นธรรมเนียม
       เริ่มจากวันที่ 6–8 เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1949 คณะรัฐบาลกลางร่วมประชุมกันที่เนินเขาซีป๋อ (西柏) ตำบลผิงซาน(平山县) มณฑลเหอเป่ย (河北省) การประชุมในครั้งนั้นมีผู้เสนอญัตติให้มีแถลงการณ์สถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นอย่างเป็นทางการ และมีการจัดตั้งรัฐบาลกลางเพื่อร่วมร่างนโยบายบริหารประเทศ นำไปสู่การเปิดประชุมวิสามัญครั้งแรกของคณะบริหารประเทศ ณ กรุงปักกิ่งระหว่างวันที่ 21–29 เดือนกันยายนปีเดียวกัน จากนั้น จึงมีการกำหนดร่างกฎหมายของคณะรัฐบาลให้มีการกำหนดเมืองหลวงของประเทศ (国都) ธงประจำชาติ (国旗)เพลงชาติ (国歌)ตลอดจนการเริ่มใช้ศักราชจีนใหม่ (纪年) โดยที่ประชุมลงมติให้เหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำรัฐบาล และมีจูเต๋อ (朱德) หลิวเซ่าฉี (刘少奇) ซ่งชิ่งหลิง (宋庆龄) หลี่จี้เซิน (李济深)จางหลัน (张澜) และเกากั่งเหวย (高岗为) ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี พร้อมกันนี้ยังมีการเลือกคณะกรรมการบริหารประเทศจำนวน 180 คน
       ทั้งนี้ กว่าที่จะมีการกำหนดใช้ธง 5 ดาวบนพื้นสีแดงดังในปัจจุบัน ทางคณะกรรมการได้เคยประกาศให้ประชาชนทั่วไปส่งผลงานการออกแบบธงชาติจีนตามความคิดของตนโดยไม่มีการกำหนดข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น ผลปรากฏว่า เมื่อคณะกรรมการพิจารณาจากผลงานที่เข้ารอบแล้ว ต่างลงความเห็นว่า ธงชาติรูปที่มีด้ามเคียวและขวานบนดาวดวงใหญ่ 1 ดวงกับดาวดวงเล็กอีก 4 ดวงถือว่าเหมาะสมที่สุด แต่เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับธงชาติของประเทศสหภาพโซเวียต (苏联)ในยุคนั้นซึ่งอาจทำให้คนทั่วไปเกิดความสับสน ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เป็นประเทศเอกราช ธงชาติจึงจำเป็นต้องมีความเป็นเอกเทศ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้รูปแบบของธงดังกล่าวไม่ผ่านการเห็นชอบจากคณะผู้จัดทำ แต่หลังจากที่เผิงกวงหาน (彭光涵)ผู้รับผิดชอบเรื่องการออกแบบธงรายงานต่อประธานเหมาฯ แล้ว ท่านกลับไม่เห็นชอบกับรูปแบบธงชนิดอื่นๆ ที่ผ่านเข้ารอบ เว้นแต่รูปแบบของธงผืนข้างต้น และเสนอให้ลบภาพเคียวและขวานออก จึงเหลือเป็นธงที่มีดาว 5 ดวงบนพื้นสีแดง จากนั้นก็เปลี่ยนมาเรียกเป็น “ธง 5 ดาวบนพื้นแดง” (五星红旗)
       ขณะที่ “เพลงมาร์ชทหารหาญ” (义勇军进行曲) หรือเพลงชาติของจีนปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1935 โดยมีเถียนฮั่น(田汉) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องและเนี่ยเอ่อ (聂耳) เป็นผู้ประพันธ์ทำนองเพลง เดิมทีใช้เป็นเพลงนำภาพยนตร์เรื่อง “เฟิง อวิ๋นเอ๋อร์หนี่ว์” (风云儿女) ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์หลังวันที่ 18 กันยายน เมื่อลัทธิจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นเข้ายึดครองมณฑลเฮยหลงเจียง (黑龙江省) มณฑลจี๋หลิน (吉林省) และมณฑลเหลียวหนิง (辽宁省) อำนาจอธิปไตยของประเทศตะวันตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน หลังจากที่เถียนฮั่นเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จ กลับถูกทางรัฐบาลจับกุม แต่เนื่องจากเนี่ยเอ่อมีความมานะจึงทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกฉาย หลังจากนั้นไม่นาน เพลงปลุกใจบทนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเหตุการณ์โค่นล้มเจียงไคเช็ก (蒋介石)และการต่อสู้เพื่ออธิปไตยของกองทัพปลดแอก (解放军建国) จนสามารถสถาปนาเป็นประเทศเอกราชที่ปกครองภายใต้ระบบสังคมนิยมในที่สุด
       จวบจนปัจจุบัน ต้นเสาที่ใช้ในการเชิญธงชาติจีนขึ้นสู่ยอดบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมินนั้นผ่านการบูรณะเพิ่มเติมเพียงครั้งเดียว กล่าวคือ เสาต้นเดิมที่เหมาเจ๋อตงเป็นผู้เชิญธงขึ้นสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 นั้น มีความสูงเพียง 22 เมตร ต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1991 มีการซ่อมแซมเพิ่มเติม โดยเพิ่มความสูงขึ้นเป็น 32.6 เมตร เหตุที่มีการซ่อมแซมเพิ่มเติมนั้นเกิดจากปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ เสาต้นเดิมผ่านการใช้งานนานนับ 42 ปี จึงเกิดการสึกกร่อน ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานั้น มีกลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่มีความโอ่อ่าและสูงตระหง่านอย่างหอประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติจีน (人民大会堂)พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (历史博物馆) และหอรำลึกเหมาเจ๋อตง (毛泽东纪念堂) ที่สร้างขึ้นใหม่บริเวณจัตุรัสแห่งนี้ ส่งผลให้เสาเชิญธงต้นเดิมมีความสูงลดหลั่นจากสิ่งปลูกสร้างอื่นอย่างชัดเจน ไม่เข้ากับสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่เหล่านี้ เสาต้นใหม่ที่ผ่านการบูรณะสามารถแบ่งเป็น 3 ชั้น เริ่มจากการการปูหยกขาวที่มีความสูง 80 เซนติเมตร ล้อมรอบโคนเสาชั้นใน มีทางเดินเข้าออกด้านซ้ายและขวาที่มีความกว้างขนาด 2 เมตร ชั้นกลางปูด้วยหินลวดลายสีแดงล้อมบริเวณโคนเสาธงโดยรอบ มีความกว้าง 2 เมตรกว่า การใช้สีแดงเพื่อสื่อความหมายถึง “เลือดรักชาติของประชาชนชาวจีน” ชั้นนอกสุดเป็นพื้นสีเขียวที่มีความกว้าง 5 เมตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติภูมิแห่งมาตุภูมิ บริเวณทั้งสี่ด้านของแท่นเสาธงจะล้อมรั้วที่ทำด้วยทองเหลือง 56 อัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการร่วมมือร่วมใจของชาวจีนทั้ง 56 ชนชาติ ภายใต้ธงแดง 5 ดาวผืนนี้

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

AMERICAN IDIOMS


Smell a Rat
How come the front door is open? Didn't  you close it before we went shopping?
I'm sure I did. I can't understand it. Frankly, I smell a rat.
Me, too. I'm convinced that something is definitely wrong here. We'd better call the police.
Go to the Dogs
Have you seen their house lately? It's really gone to the dogs.
It's true that it has become run-down and in serious need of repair, but I'm sure that it can be fixed up to look like new.
I guess with a little carpentry work and some paint it could look pretty decent.


Fishy
When the security guard saw a light in the store after closing hours, it seemed to him that there was something fishy going on. He called the central office and explained to his superior that he thought something strange and suspicious was occurring.


Take the Bull by the Horns
Julie had always felt that she was missing out on a lot of fun because of her clumsiness on the dance floor. She had been putting off taking lessons, but she finally took the bull by the horns and went to a professional dance studio for help. She was tired of feeling left out and acted decisively to correc

tLet the cat out of the Bag
Bob was going to retire from teaching in June, and the foreign language department was planning on presenting him with some luggage at his retirement dinner. He wasn't supposed to know about it, but someone let the cat out of the bag. At the dinner Bob acted surprised, even though someone had told him what he was getting before the official presentation.


For the Birds
They went to a poetry reading, but they got bored and restless. As far as they were concerned, it was for the birds! They left during an intermission because they found the reading totally uninteresting and meaningless


Straight From the Horse's Mouth
How did you find out that Jill was engaged?
I got the information from a very reliable source.
You mean Jill told you so herself?
That's right. I got it straight from the horse's mouth! the situation.

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

SCHENGEN


The Schengen Area currently consists of twenty-six states, all but four of which are members of the European Union(EU). Two of the non-EU members, Iceland and Norway, are part of the Nordic Passport Union and are officially classified as states associated with the Schengen activities of the EU. The third, Switzerland, was subsequently allowed to participate in the same manner in 2008. The fourth, Liechtenstein, joined on 19 December 2011, becoming the newest member of the Schengen Area. De facto, the Schengen Area also includes several microstates that maintain open or semi-open borders with Schengen countries. Two EU members—Ireland and the United Kingdom—negotiated opt-outs from Schengen and continue to operate systematic border controls with other EU member states.
Before fully implementing the Schengen rules, each state needs to have its preparedness assessed in four areas: air bordersvisas, police cooperation, and personal data protection. This evaluation process involves a questionnaire and visits by EU experts to selected institutions and workplaces in the country under assessment

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2555


คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2555
          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 ความว่า
          "มือของแม่นั้น คือ มือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลาอยากให้เป็นงานดีที่งามเงาอยู่ที่คอยขัดเกลาแต่เบามือ"

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

About Olympic 2012



The London 2012 Olympic Games Opening Ceremony took place at 9pm on 27 July 2012.
Titled 'Isles of Wonder', the Ceremony welcomed the finest athletes from more than 200 nations for the start of the London 2012 Olympic Games, marking an historic third time the capital has hosted the world’s biggest and most important sporting event.
The Opening Ceremony reflected the key themes and priorities of the London 2012 Games, based on sport, inspiration, youth and urban transformation. It was a Ceremony 'for everyone' and celebrated contributions the UK has made to the world through innovation and revolution, as well as the creativity and exuberance of British people.
The spectacular finale of the event saw the Olympic Cauldron, formed of 205 copper petals representing the competing nations coming together in London for the Games, ignited by seven young Torchbearers nominated by Britain’s past and present Olympic and sporting greats.

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Friday the 13th

A black cat
Will cross your path.
You will break a mirror.
You will step on sidewalk cracks
Making your mother land on her rear.
You favorite pet will run away.
Godzilla and King Kong will eat your car.
If you think it's going to be your lucky day,
Just remember where you are

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันชาติสหรัฐอเมริกา

วันชาติสหรัฐอเมริกา





วันฉลองอิสรภาพ สหรัฐอเมริกา 4 ก.ค. ในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1776 ผู้แทนของอาณานิคมอังกฤษทั้ง13 แห่ง ในอเมริกาเหนือได้มารวมกันที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพลซิลเวเนีย เพื่อหารืออภิปรายกันในข้อเสนอที่อาจหาญว่า "อาณานิคมที่ผนึกเข้าด้วยกันนี้ล้วนแต่เป็นรัฐอิสระและเป็นเอกราช แล้ว โดยสิทธิก็ควรจะเป็นเช่นนั้น" ในขณะที่ผู้แทนจากอาณานิคม กำลังประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวอยู่นั้น คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 คนนำโดย โธมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เอกสารขึ้นฉบับหนึ่งซึ่งเรียกกันในเวลาต่อมาว่า "คำประกาศอิสระภาพ" 

ในการประกาศให้ชาวโลกได้ทราบถึงการประกาศตนเป็นเอกราชนั้น คำประกาศได้วางหลักการและเหตุผลในการก่อตั้งประเทศใหม่ว่า "เราถือว่าความจริงต่อไปนี้มีความหมายประจักษ์ชัดในตัวเอง คือ มนุษย์ทุกคนล้วนถือกำเนิดเกิดมาเท่าเทียมกัน และต่างได้รับสิทธิบางประการที่อาจมอบโอนกันได้จากประทานของผู้สร้าง ซึ่งในบรรดาสิทธิเหล่านี้มีสิทธิในชีวิตเสรีภาพ และการแสวงหาความสุขเป็นอาทิ" บรรดาผู้เข้าร่วมการประชุมที่ฟิลาเดลเฟียได้ออกเสียงลงมติเห็นชอบกับคำประกาศอิสรภาพ ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 วันดังกล่าวจึงถือว่าเป็นวันกำเนิดอย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกานับแต่นั้นเป็นต้นมา

งานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นกันเองโดยมิได้วางแผนหรือนัดหมายกันมาก่อนได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในวันครบรอบของปีถัดมา ในฟิลลาเดลเฟียชาวเมืองเฉลิมฉลองกันด้วย การเคาะระฆัง เล่นรอบกองไฟและจุดดอกไม้ไฟ เรือที่ทอดสมออยู่ที่ท่ายิงสลุต 13 นัด ประชาชนจุดประทีปโคมไฟโดยใช้เทียนประดับตกแต่งไว้ตามหน้าต่างให้บ้านเรือนของตนสว่างไสว พอถึงปีค.ศ. 1810 เมืองใหญ่ๆของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดต่างก็จัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างมีพิธืรีตองอันเป็นประเพณีที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ แม้ว่าหลายพื้นที่จะเอาประเพณีท้องถิ่นของตนเข้าไปผสมผสานด้วย แต่รูปแบบของการสนุกสนานรื่นเริงในการเฉลิมฉลองวันชาติทั่วสหรัฐ ที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ การเดินพาเหรด การแสดงของวงดนตรี การแข่งกีฬา การไปปิกนิกและการจุดดอกไม้ไฟ ทุกหนแห่ง นับตั้งแต่เมืองเล็กๆ ชุมชนการเกษตร ไปถึงนครใหญ่ๆ

ชาวอเมริกันจะประดับประดาธงชาติของตนด้วยความภาคภูมิใจในการเฉลิมฉลองเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นมรดกของชาติร่วมกัน ด้านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเมริกาคนที่43 ได้มีแถลงการณ์เนื่องในโอกาสวันฉลองอิสรภาพ 4 ก.ค. โดยส่งความปรารถนาดีแด่ชาวอเมริกัน เรียกร้องให้ชาวอเมริกันผนึกกำลังเพื่อความเป็นเอกภาพแห่งชาติและชื่นชมในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ ความรักต่อครอบครัว มิตรสหายและเสรีภาพ

จากประวัติศาสตร์ของประเทศที่เกิดขึ้นมาช้านาน ชาวอเมริกันพยายามอย่างยิ่งยวดในอันที่จะสร้างประเทศที่ให้เสรีภาพ สันติภาพ และโอกาสแด่ทุกคน ขณะเดียวกันเราก็พยายาม ที่จะผลักดันเมฆหมอกแห่งความเลวร้ายให้ออกไปจากประเทศของเรา และประชาคมโลก ซึ่งเราขอยืนยันว่าจะสานต่อเจตนารมณ์แห่งบรรพบุรุษที่ได้สร้างไว้คือ มรดกแห่งอิสรภาพ นอกจากนั้น เรายังขอยกย่องหทารหาญ ซึ่งได้อุทิศตัวเพื่อปกป้องประเทศชาติไว้

สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมาเป็นเวลา 169 ปีแล้ว และประชาคมระหว่างประเทศยังคงแนบแน่นเช่นเคย ชาวอเมริกันให้ความสำคัญกับการเดินทางไปเยือนสหรัฐเมื่อปีที่แล้วของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างมากและได้มีความคืบหน้าในการเจรจาทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงความผูกพันทางวัฒนธรรมของชาวไทยและอเมริกันยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคนไทยหลายพันคนที่ได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อทำธุรกิจ ศึกษาเล่าเรียน และเยี่ยมชมประเทศ หรือเข้ามารับใช้ร่วมกับโครงการ Peace Corps อย่างที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาเมื่อกว่า40ปีที่แล้ว ในตอนนั้น ข้าพเจ้าเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่จังหวัดลำพูน ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจเป็ฯอย่างยิ่งในการกลับมายังประเทศไทยในฐานะฑูตสหรัฐอเมริก าและได้เห็นว่ามิตรภาพของเรานั้นได้เจริญเติบโตยิ่งขึ้น มิตรภาพดังกล่าวเพิ่มพูนขึ้นภายหลังการก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ในนครนิวยอร์กและ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชทานสาสน์ถึงประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แสดงความเสียพระทัยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ได้ส่งสารแสดงความเสียใจในนามของรัฐบาลไทยด้วย
ข้อความในพระราชสาสน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสะท้อนถึงความสนับสนุนแก่นานาชาติ ในการนำเสรีภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาสู่ประชาชน ชาวอัฟกานิสถาน


ไทยยังได้ร่วมมือกับสหรัฐในอีกหลายๆด้านเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายระหว่างประเทศ สหรัฐยินดีที่มีไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการทำสงครามกับก่อการร้าย สารจาก นายแดร์ริล เอ็น. จอห์นสัน เอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย เนื่องในโอกาสวันที่ 4 ก.ค.ว่า วันที่4 ก.ค.นี้จะเป็นวันครบรอบ 226 ปี ที่บรรพบุรุษของเรา ได้ลงนามประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะร่วมฉลองในโอกาสนี้กับประชาชนชาวไทย และกับชาติอื่นๆในประเทศไทย วันที่ 4 ก.ค. นี้เป็นวันที่ชาวอเมริกันร่วมเฉลิมฉลองและรำลึกถึงหลักการแห่งประชาธิปไตยและเสรีภาพ ซึ่งเป็นหลักการที่ผู้คนนับล้านๆ คนทั่วโลกยึดถือ และปีนี้ถือเป็นปีสำคัญ เป็นพิเศษในการเฉลิมฉลองเสรีภาพและประชาธิปไตยในประเทศไทย เมื่อพ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นเวลา 70 ปีมาแล้ว ที่ชาวไทย ได้เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตย ในช่วงเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา ประชาธิปไตยเป็นค่านิยมประการหนึ่งที่ประชาชนของเรายึดถือร่วมกันมา

ประวัติ นายแดร์ริล เอ็น. จอห์นสัน เอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย นายจอห์นสัน สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2544 และเริ่มปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวเมื่อ วันที่ 27 ธ.ค. 2544 ก่อนหน้านี้ เอกอัครราชทูตจอห์นสัน เคยดำรงตำแหน่ง รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยรับผิดชอบเรื่องที่เกี่ยวกับจีนและมองโกเลีย ก่อนเข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ

ในปี พ.ศ.2508 นายจอห์นสัน เคยเป็นอาสาสมัครของหน่วยสันติภาพของสหรัฐ ( Peace Corps ) ในประเทศไทย
โดยเป็นครูสอนภาษาที่จังหวัดลำพูน นายจอห์นสัน เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ปฎบัติราชการในต่างประเทศ มาแล้วหลายประเทศเช่นที่ อินเดีย,ฮ่องกง,รัสเซีย,โปแลนด์ และลิธัวเนีย นายจอห์นสัน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยม) จาก University of Washington และเคยศึกษาที่ University of Puget Sound, University of Minnesota และ Princeton University เขาได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในสมาชิก สมาคม Phi Beta Kappa ซึ่งเป็นสมาคมของนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม และได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสมาคมอื่นๆที่เกี่ยวกับการศึกษาทางทหาร ดนตรี และวรรณคดี นายจอห์นสันสามารถพูด ภาษาไทย ภาษจีนกลาง ภาษารัสเซีย ภาษาโปแลนด์ ได้ดี และสามารถพูด ภาษาลิธัวเนียได้เล็กน้อย นายจอห์นสันสมรสกับนางแคธลีน เดซาฟอรานซ์ และมีบุตรสาวหนึ่งคนคือ ดาราวรรณ (เกิดในประเทศไทย) บุตรชายฝาแฝดสองคน คือ ลอเร็นและเกรกอรี (เกิดที่อินเดีย) และมีหลาน 2 คน นายจอห์นสันมีถิ่นพำนักอยู่ที่เมือง ซีแอ็ตเติล รัฐวอชิงตัน 

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Rosie the Riveter




All the day long,
Whether rain or shine
She’s part of the assembly line.
She’s making history,
Working for victory
Rosie the Riveter


The poster of Rosie the Riveter is very effective with its usage of rhetoric strategies. The woman in the poster is standing in front of a simple yellow background which automatically puts most of the attention of the audience on her and the logo which are the two things that are very crucial in order to attract the viewers. The poster is aimed in order to attract women to jobs that were traditionally occupied by men. The fact that a woman is on the poster is already giving it the perfect ethos because that will appeal to women, who are the audience, because women tend to trust each other more than they trust men. Therefore, having a woman on the poster encouraging them to work will assure the women more and cause them to be more trusting. The characteristics of the woman in the poster are perfect in order to appeal to women and employ boldness and fortitude in them to join the work force. The woman is showing her muscular biceps, demonstrating that she is a strong woman who doesn’t need a man to do the heavy lifting for her. Her face is very stern and serious illustrating that she is a tough woman who can handle the work usually performed by men. Furthermore, the woman is wearing red, white and blue, the colors of the American flag which expresses her patriotism, something that she is trying to evoke in her audience. Her bandana and the simple work clothes she wears are also trying to show that she is ready to work for her country. The logo is the highlight of the entire poster; again, just like the poster itself, the logo is written in a very simple font that causes the phrase to be more striking without any other distractions. The phrase “We Can Do It!” automatically incites confidence in the women since they believe that they can be like this strong, confident and tough woman and do the work required. In addition the fact that the logo says “We Can Do It!” as opposed to “You Can Do It!” elicits pathos in the audience because the women feel like they aren’t alone. They feel like they are part of something greater than themselves by trying to aid their country. In addition it incites a feeling of unity because they believe that there are strong women in their midst who will guide and help them through these difficult times of War.


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Billboard Music Awards Winner 2012




Top Artist — Adele
Top Female Artist — Adele
Top Male Artist — Lil Wayne
Billboard Millennium Award — Whitney Houston
Top Touring Artist — U2
Top Country Artist — Lady Antebellum
Top Rock Artist — Coldplay
Top R&B Artist — Chris Brown
Top Pop Artist — Adele
Top Rap Artist — Lil Wayne
Top Alternative Artist — Coldplay
Top Latin Artist — Shakira
Top Christian Artist — Casting Crowns
Top Duo/Group — LMFAO
Hot 100 Song — Party Rock Anthem by LMFAO ft. Lauren Bennett & GoonRock
Top New Artist — Wiz Khalifa
Billboard Spotlight award – Katy Perry
Top Social Artist — Justin Bieber
Top Digital Songs Artist — Adele
Top Dance Artist — Lady Gaga
Top Radio Songs Artist — Adele
Top Streaming Artist — Rihanna
Top Digital Media Artist — Adele
Favorite Artist — Lady GaGa
Most Influential Style — Lady GaGa
New Style Icon — Azealia Banks
Woman of the Year — Taylor Swift
Music Icon — Stevie Wonder
Album Awards:
Top Billboard 200 Album — Adele 21
Top Pop Album — Adele 21
Top R&B Album — Beyonce 4
Top Rap Album — Lil Wayne Tha Carter IV
Top Country Album — Jason Aldean My Kinda Party
Top Rock Album — Coldplay Mylo Xyloto
Top Alternative Album — Coldplay Mylo Xyloto
Top Latin Album — Romeo Santos Formula: Vol. 1
Top Dance Album — Lady Gaga Born This Way
Top Christian Album — Casting Crowns Come To The Well
Song Awards:
Top Hot 100 Song — LMFAO Feat. Lauren Bennett & GoonRock "Party Rock Anthem"
Top Digital Song — LMFAO Feat. Lauren Bennett & GoonRock Nicki Minaj
Top Radio Song — Pitbull Feat. Ne-Yo, Afrojack & Nayer Give Me Everything
Top Streaming Song (Audio) — Adele Rolling in the Deep
Top Streaming Song (Video) — Nicki Minaj Super Bass
Top Pop Song — LMFAO Feat. Lauren Bennett & GoonRock Party Rock Anthem
Top R&B Song — Kelly Rowland Feat. Lil Wayne Motivation
Top Rap Song — LMFAO Feat. Lauren Bennett & GoonRock Party Rock Anthem
Top Country Song — Jason Aldean Dirt Road Anthem
Top Rock Song — Foster The People Pumped Up Kicks
Top Alternative Song — Adele Rolling In The Deep
Top Latin Song — Don Omar & Lucenzo Danza Kuduro
Top Dance Song — LMFAO Feat. Lauren Bennett & GoonRock Party Rock Anthem
Top Christian Song — Laura Story Blessings